![]() |
Digital Photography Audio & Video Computer Accessories Software Applications | Home |
XX |
|
งานอดิเรก
(Hobby 1) ไฟฟ้า Electronics เครื่องเสียง สมัยเด็กๆนั้น เมื่ออยู่ชั้นมัธยม 1 ที่โรงเรียนไพศาลศิลป์ ยศเส (เลิกกิจการไปนานแล้ว) ในชั้น ม.1ก ได้มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อสมพงษ์ โสภาวนิชย์ เป็นคนที่ชอบเล่นเครื่องไฟฟ้ามาก สมัยนั้น ทุกอย่างขัดสน ของก็หายาก เงินก็ไม่มี แต่ดูเหมือนว่าร้านแถวคลองถมและบ้านหม้อ มีบางร้านที่ขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า ส่วนมากจะเป็นอุปกรณ์วิทยุ พวกวิทยุหลอด (Radio Tube) ตัวความต้านทาน แคแปซิเตอร์ ลวดพันคอยล์ ฯลฯ สมพงษ์เป็นเพื่อนสนิทที่เป็นตัวนำให้ผมเริ่มสนใจไฟฟ้าเพราะอยากจะเล่น หาอะไรแปลกๆเล่นไม่ได้ เพราะไม่มีเงินซื้อของเล่น ซึ่งร้านขายของเล่นที่ดังมากสมัยนั้น อยู่ที่บริเวณโรงหนังพัฒนากร ก็ได้แต่ไปยืนดูเท่านั้น ดังนั้น เมื่อสนิทกับสมพงษ์ และของเล่นชิ้นแรกที่สมพงษ์ นำมาเล่นที่โรงเรียนก็คือ อ็อตไฟฟ้า หรือที่เราใช้กดที่หน้าบ้านเวลาบอกให้คนในบ้านทราบว่ามีคนมานั่นเอง เห็นแล้วก็ชอบมาก ดูมันทำง่ายมาก แต่ไม่มีความรู้ จึงได้ขอให้สมพงษ์ช่วยทำให้หนึ่งอัน แต่รอแล้วรออีกสมพงษ์ก็ไม่ทำให้สักที จึงคิดว่าจะต้องทำเองให้ได้ จากนั้นก็ไปซื้อลวดพันคอยล์มาพันกับหลอดด้าย ใช้ตะปูเป็นแกนกลางเพื่อให้เกิดเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้สังกะสีตัดมาเป็นตัวสั่น และติดบนแท่นไม้ฉำฉา พอทำเสร็จก็แอบเสียบเข้าที่ปลั๊กไฟที่บ้าน และก็ได้ผลคือเกิดไฟช็อต ไฟดับหมดทั้งบ้าน ซึ่งผมก็ไม่บอกใครว่าไฟฟ้าดับเพราะอะไร จนพี่ชายต้งออกไฟเปลี่ยนฟิวส์ตะกั่วที่หม้อไฟฟ้า (มิเตอร์) ซึ่งติดตั้งอยู่ที่เสาไฟฟ้า และเพราะเหตุนี้ ต่อมาผมก็เป็นคนที่ไปเปลี่ยนฟิวส์ได้เองเป็นประจำ ต่อมา เมื่ออยู่ชั้นมัธยม 3 ถึงมัธยม 5 สมพงษ์ก็ได้ทำวิทยุเป็นแล้ว รวมทั้งทำแบบที่มีตั้งแต่ 1 หลอดไปจนถึง 5 หลอด สมัยนั้น เราจะไปคลองถมและบ้านหม้อกันบ่อยๆ เพื่อหาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ผมเริ่มสร้างวิทยุได้เองแต่เป็นแบบ AM เพราะ FM ยังไม่มีจนกระทั่งประมาณปีที่อยู่มัธยม 6 ก็ได้เริ่มทำวิทยุ FM ใช้เอง มีแค่หลอดเดียวก็ยังใช้ได้ แต่ต่อมาก็เริ่มทำดีขึ้นมีแยกเสียงทุ้ม เสียงแหลมได้ด้วย พอมาเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (ตอ.) ต้องเรียนหนักมากขึ้น เพราะเป็นที่รวมของคนเก่งๆมาจากทั่วประเทศ เพื่อนสนิทที่มาสอบเข้า ตอ.ด้วยกัน ก็มีเพียงคนเดียวคือ ปัญญา เปรมปรีดิ์ ซึ่งตอนสอบมัธยม 6 ที่ไพศาลศิลป์นั้นผมสอบได้ที่ 1 และเข้าใจว่าปัญญาได้ที่ 2 แต่พอมาสอบเข้า ตอ.ผมได้คะแนนน้อยกว่าปัญญา จึงได้ไปอยู่ห้องรองคิงส์ และที่นั่น ผมได้พบเพื่อนใหม่ๆอีกมากมาย เช่น โกศล เพชรสุวรรณ์ เย็นใจ เลาหวณิช อัครวิทย์ อัคราทร เป็นต้น เพื่อนที่สนิทมากในขณะนั้น นอกจากปัญญา ซึ่งสนิทกันมาจากไพศาลศิลป์แล้ว ก็มี เย็นใจเลาหวณิช นี่แหละ(ผู้ชาย) เย็นใจ สนใจเรื่องไฟฟ้า ฟิสิกส์ และเคมีมาก เราได้ทดลองทำของเล่นมากมาย และจะคุยกันในเรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือไม่สนใจ ในระยะที่ผมศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้น ต้องเรียนหนักมากพอควร แต่ไม่เคยนอนหลัง 4 ทุ่ม และเมื่อสอบปลายปีที่ 2 มีความมั่นใจสูงว่าจะต้องได้คะแนนดี ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า เย็นใจ ติดบอร์ดอันดับที่ 1 ของประเทศไทย ส่วนผมนั้น ติดบอร์ดอันดับที่ 22 ก็นับว่าดี (ส่วนปัญญานั้น จำไม่ได้แล้ว) จากนั้น พวกเราก็สอบเข้าจุฬาฯ ได้กันหมด ส่วนใหญ่ของพวกเพื่อนๆไปเรียนหมอ มีเข้าวิศว ก็ได้แก่ ผม เย็นใจ ปัญญา สุรพันธ์ เป็นต้น ในระหว่างที่เรียนวิศวนั้น ทางบ้านให้เงินเบี้ยเลี้ยงมากขึ้น ทำให้พอมีเก็บ เอาไปดูหนัง และหาซื้อของมาเล่นได้อีก เรื่องการถ่ายภาพนั้น ผมเล่นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เริ่มจากกล้องบอกซ์ ที่ถูกมากๆต่อมาก็ได้กล้องจากพี่สาวที่อยู่ที่โตเกียว ส่งกล้องอย่างดีมาให้ถ่ายรูปลูกสาวคนโต ที่มาฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านที่กรุงเทพฯ ไม่อยากจะคุยว่า ตอนนั้น ผมมีกล้อง Leica ซึ่งดีที่สุดใช้แล้ว และต่อมายังมีกล้องถ่ายหนัง (8 มม.)ใช้อีกด้วย นอกจากนั้นก็มีกล้อง Zeiss Ikon ล้วนของดีๆจากเยอรมัน เพราะสมัยนั้น กล้องญี่ปุ่นยังไม่ดังเท่าไร ด้วยแรงบันดาลใจที่มีกล้องดีๆใช้ฟรีก็เลยอยากจะอัดรูปเอง เพราะเห็นที่เขาดิน สมัยก่อนมีร้านถ่ายรูป แบบรอรับรูปไปได้ จึงได้พยายามทำเครื่องอัดขยายรูปขึ้น ก็พอใช้งานได้ แต่ไม่คมชัดนัก จึงเลิกไป ต่อมาสิ่งที่คนทั่วไปไม่เคยทราบก็คือ ผมได้ลงทุนนั่งค่อยๆวาดภาพการ์ตูนส์ทีละภาพๆ แล้วใช้กล้องถ่ายหนัง 8 มม. ติดบนขาตั้งทำด้วยไม้ และกดให้มันถ่ายทีละเฟรม สองเฟรม จนกลายเป็นหนังการ์ตูนส์สำเร็จ เมื่อเรียนจบปริญญาตรีวิศวไฟฟ้าแล้ว ก็เริ่มเข้าทำงานรับราชการ ตอนนั้น เพราะต้องการจะได้ทุนไปเรียนต่อที่เมืองนอกและเมื่อได้ไปจริงๆ ขาไปก็แวะที่ฮ่องกง ซื้อกล้องถ่ายรูปที่แพงมากคือ Zeiss Ikon (ราคา 150 US $ ในปี 2506) ซึ่งนับจนถึงวันนี้กล้องดังกล่าวมีอายุ 42 ปีแล้ว และผมก็ยังเก็บรักษามันไว้ (จะถ่ายรูปมาให้ดู) ก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกา ได้เริ่มเล่นเครื่องบันทึกเทปแบบ Open Reel ซึ่งสมัยนี้หายากมากและถ้าไปถามหา คนจะหาว่ามาจากช่วงเวลาในอดีตข้ามเวลามา แต่ความจริง ยังคงจะมีใช้กันบ้างในห้องบันทึกเสียง เพราะสมัยก่อน ต้นฉบับเพลงทีจะไปทำแผ่นเสียง (Record) เขาจะบันทึกลงเทปแบบนี้ก่อน มันให้คุณภาพเสียงที่ดีมาก และเมื่อผมกลับมาจากอเมริกา ก็ได้ซื้อเครื่องบันทึกเทปแบบ Open Reel ที่เรียกว่า Tape Deck ของ Sony แบบ 3 หัวเทป โดยซื้อที่ร้านแถววังบูรพา และใช้ได้ดีมาก ใช้มานานหลายสิบปีทีเดียว จนถึงวันนี้ มีอายุ 40 ปีแล้วก็ยังสวยอยู่ และใช้ได้ด้วย แต่คุณภาพด้อยลงไปเพราะขั้วต่อต่างๆอาจจะไม่สะอาดแล้ว
|
ตั้งแต่วันที่
15 ก.พ.2548
ปรับปรุงล่าสุด 28 มิ.ย. 2551