|
|
|
รถยนต์
Mercedes-Benz E 250 CGI
ดู English
Version
BlueEfficiency Avantgarde Saloon
รถยนต์เบนซ์ รุ่นใหม่ อี คลาส E 250 CGI
ผมได้ใช้รถ Mercedes-Benz E 200 Kompressor รุ่นปี
2544 มาเป็นเวลา 9 ปีแล้ว
เป็นรถที่ดีมากนั่งสบาย ขับสบาย อัตราเร่งดี
แรงบิดก็ดี และกินน้ำมันไม่มาก
คือวิ่งทางไกล ขับแบบปกติ
ความเร็ว 100 -120 กม./ชม. จะได้ถึง 12 กม./ลิตร (รถ Hybrid
ใหม่ เครื่อง 2,000 - 2,400 cc. ใช้น้ำมัน Gasohol
95
วิ่งทางไกลได้แค่ 17 กม./ลิตร
เท่านั้น และถ้าใช้ Gasohol 91
ก็วิ่งได้ประมาณ 15 กม./ลิตร)
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าทาง
Mercedes-Benz
ได้เริ่มจัดวางจำหน่ายรถเบนซ์
อี คลาส รุ่นใหม่
ซึ่งเรียกกันว่ารุ่นปี 2010 และทางบริษัทนำเข้ารถยนต์บางราย
(Grey Market) ได้รับจองรถบางแบบไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
และในปลายปี 2552 ทาง Mercedes-Benz
ก็ได้กำหนดวันเปิดตัวรถเบนซ์ อี
คลาส รุ่นใหม่ คือ
E 250 CGI BlueEfficiency
Avantgarde ในวันที่ 13 พ.ย. 2552
อย่างเป็นทางการ
(สำหรับแขกรับเชิญ) และวันที่ 14 - 15
พ.ย. 2552 สำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งในระยะนั้น
แจ้งว่ารถรุ่นแรก จะเป็นรถนำเข้า
แต่ต่อมาก็เป็นรถที่ประกอบในประเทศแทน โดยมีกำหนดรับรถ Lot แรก ในเดือนเมษายน
2553 (คือจองแล้ว
รุ่นแรก ต้องรอประมาณ
5 เดือน) |
|
เมื่อศึกษาจาก Specifications
และข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ
พบว่า รถเบนซ์ E 250 นี้
มีความจุกระบอกสูบลดลงเหลือเพียง 1,796 cc.
แต่ด้วยเทคโนโลยี Turbocharge
ได้กำลังม้าถึง 204 แรงม้า
และแรงบิดก็สูงขึ้นด้วย
แต่อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง อาจจะได้ 15 - 16 กม./ ลิตร
เมื่อวิ่งนอกเมือง นับว่าดีมาก
ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม 20%
สำหรับรูปร่างความสวย สง่างาม และหรูหรา
นั้น
เป็นเอกลักษณ์ของรถเบนซ์อยู่แล้ว
รุ่นนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น
E200 ด้วย สำหรับราคารถนั้น
คงจะทราบในวันที่ 13 พ.ย. 2552 นี้
แต่เมื่อเทียบกับ
Grey Market แล้ว
ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
เพราะเป็นรถนำเข้ามาเหมือนๆกัน
หมายเหตุ :
ได้ทดสอบความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไปบ้างแล้ว ยังทำได้แค่
13.5 กม./ลิตร
Features พิเศษ (เมื่อเทียบกับ E 200 Kompressor)
มีระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ
(Attention Assist), ระบบเตือนแรงดันลมยาง,
ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง, มีช่องแอร์สำหรับคนนั่งข้างหลัง ทั้งตรงกลาง
และที่เสาประตูด้วย
อุปกรณ์ที่ขาดไป
อุปกรณ์ที่ขาดไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับรถรุ่นนี้ คือ
GPS Navigation และ กล้องมองหลัง
เมื่อเทียบกับรถยนต์สมัยใหม่ราคาล้านกว่าบาท ก็มีให้ครบ ดังนั้น
ถ้าต้องการใช้ระบบนำทาง GPS
แนะนำให้ติดเอาเองแต่ก็จะดูไม่แนบเนียนเท่าแบบที่มากับรถ ซึ่งใช้จอ
LCD ของรถ |
|
|
|
เครื่องเสียง
เครื่องเสียงที่มากับรถเบนซ์รุ่นนี้
มีคุณภาพ พอฟังได้ เมื่อเปิดเล่นไปนานๆ หรือ
Burn ไปสักระยะหนึ่งเสียงจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เป็นธรรมดาที่ยังต้องปรับปรุงโดยการติดตั้งระบบเสียงใหม่ให้มีเสียงที่ดี เพราะรถยนต์ระดับนี้
คงจะต้องใช้ไปอีกนาน
จากการปรึกษากับคุณสุชาติ (Suchart Sound) ผมประสงค์จะใช้ Head Unit /
Front เดิม ที่ติดมากับรถ เพราะออกแบบมาสวยดี แต่เนื่อง จากเครื่องเสียงที่มากับรถยนต์ส่วนใหญ่ ยังไม่ดี ถึงขั้นนัก ดังนั้น ถ้าใช้ Front เดิม
ก็ควรจะต้องมี Digital Signal Processor เข้ามาช่วย
เช่น
Audison Bit One Processor เป็นต้น
ซึ่งคุณ สุชาติ ได้เสนอระบบเสียงมาแล้ว แต่ยังจะ ต้องรอ แอมป์ ตัวใหม่จากต่างประเทศ อีก 60
-
70
วัน
Update : แอมป์มาแล้วเมื่อวันที่ 1
ก.ค. 2553
และได้ติดตั้งระบบเสียงและทดสอบเสร็จแล้ว
อ่านบทความได้ที่นี่
(Updated
19/4/53 ,24/6/53 และ
3/7/53)
หมายเหตุ
: แอมป์รถยนต์แบบใช้หลอดบางส่วน ที่ทาง Suchart Sound
ประกาศแล้ว คือ
Purist Audio
รุ่น
Super Tube One
Test Run
ทดสอบความสิ้นเปลือง
น้ำมันเชื้อเพลิง
การทดสอบ
Fuel Consumption ในระยะ Run In
นั้น ยังไม่ควรทำ
แต่ด้วยความอยากรู้ จึงได้ทดสอบไปเรื่อยๆ
อ่านรายละเอียดที่นี่
ระบบควบคุมความเร็วคงที่
(Cruise Control)
การใช้งานโดยสรุป
และข้อควรระวัง
|
|
คลิกที่รูปภาพ เพื่อดูภาพขนาดใหญ่ (800
พิกเซล)
และคลิกที่รูปภาพใหญ่ เพื่อดูภาพถัดไป
ดูรูปภาพและข้อมูลเพิ่มเติมที่
Bangkoksite Motoring
เปรียบเทียบรายละเอียดด้านเทคนิค
ระหว่าง E 250 CGI (รุ่นปี 2553) กับ E 200 Kompressor
(รุ่นปี 2544)
|
รายการ |
E 250 CGI
Avantgarde
(2010) |
E 200 Kompressor
Elegance
(2001) |
1 |
จำนวนกระบอกสูบ
/ การจัดเรียง |
แถวเรียง 4 สูบ |
แถวเรียง 4 สูบ |
2 |
ความจุกระบอกสูบ |
1,796 |
1,998 |
3 |
กำลังเครื่องยนต์
กิโลวัตต์ / แรงม้า ที่ รอบต่อนาที |
150 (204) / 5,500 |
137 (186) / 5,300 |
4 |
แรงบิด
(นิวตันเมตร
ที่ความเร็วรอบต่อนาที) |
310 / 2,000 - 4,300 |
260 / 2,500 - 4,800 |
5 |
อัตราเร่ง
0 - 100 กม./ชม. (วินาที) |
7.8 |
|
6 |
ความเร็วสูงสุด
ประมาณ (กม./ชม.) |
238 |
226 |
7 |
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
ในเมือง (กม./ลิตร) |
9.4 - 9.7 |
|
8 |
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
เฉลี่ย (กม./ลิตร) |
12.5 - 13.2 |
|
9 |
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
นอกเมือง (กม./ลิตร) |
15.6 - 16.4 |
11.8 - 12.5 |
10 |
อัตราส่วนกำลังอัด |
9.3 |
|
11 |
ความสูง
(มม.) |
1,470 |
1,441 |
12 |
ความกว้าง
(มม.) |
1,854 |
1,799 |
13 |
ความยาว
(มม.) |
4,868 |
4,818 |
14 |
น้ำหนักรถเปล่า
(กก.) |
1,650 |
1,580 |
15 |
น้ำหนักที่สามารถบรรทุกได้
(กก.) |
535 |
500 |
16 |
น้ำหนักรวม
(กก.) |
2,185 |
2,080 |
17 |
พื้นที่บรรทุกของ
(ลิตร) |
540 |
|
18 |
ความจุถังน้ำมัน
(ลิตร) |
80 |
65 |
19 |
ขนาดยาง
หน้า - หลัง |
245 / 45 R17 |
|
|
|
|
|
หมายเหตุ :
CBU = Completely Built Unit หรือ Car imported
completely built).
CGI (Charged Gasoline Injection) :
เทคโนโลยีแบบ CGI
มีความโดดเด่นเรื่องพละกำลังรถยนต์แรงแบบต่อเนื่องแต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลดลง 10
เปอร์เซ็นโดยประมาณ
เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นค่ายแรกที่คิดค้นเทคโนลียี
CGI
และได้นำไปใช้ครั้งแรกในรถรุ่น
CLS 350 CGI ในปี 2006 ต่อมาได้ขยายไปรุ่น E 200 CGI
BlueEFFICIENCY และ E 250 CGI BlueEFFICIENCY เป็นต้น
ซึ่งสองรุ่นนี้สามารถประหยัดน้ำมันขึ้น
20 เปอร์เซ็นต์
และปล่อยไอเสียน้อยมาก
โดยรวมแล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์จะใช้เทคโนโลยี
CGI ในรถยนต์แบบ 4 และ 6 สูบBlueEFFICIENCY:
เป็นเทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพที่สุดในด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ด้วยหลักการทำให้รถยนต์มีน้ำหนักเบาขึ้นอย่างชาญฉลาดไม่ว่าจะเป็นที่โครงสร้างรถ
การลดน้ำหนักกระจกหน้ารถ
ในพวงมาลัย
การเลือกใช้ยางที่มีแรงเสียดทานต่ำและการทำให้รถลู่ลมมากที่สุด
รวมถึงการสตาท์เครื่องด้วยปุ่ม
start/stop ด้วย โดยรถที่เป็น BlueEFFICIENCY
จะประหยัดน้ำมันขึ้น 12
เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ
รถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี BlueEFFICIENCY
ผลิตแล้วในทุกเซ็กเมนต์ อาทิ A-, B-,
C-, E- และ S-Class โดยรุ่นที่จะนำมาเปิดในไทยจะเป็นระดับ E-Class คือ E 250 CGI
BlueEFFICIENCY |
|
|