ผลงาน และประสบการณ์

การเป็น Entrepreneur
คำว่า Entrepreneur (ภาษาฝรั่งเศษ อ่านว่า อองเทรอเพรอเนอ หรือคนไทยอ่านว่า   เอนเทอเพรอเนอ
แปลว่า
someone who organizes a business venture and assumes the risk for it
[syn:
enterpriser] ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งดีแล้ว คือ ผู้ที่ประกอบการหรือสร้างธุรกิจขึ้นมาและยอมรับ
ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

ภายหลังจากที่ผมได้จัดทำเว็บไซต์ www.bangkoksite.com ขึ้นได้ระยะหนึ่ง ก็มีความคิดว่าน่าจะหา
รายได้จากเว็บไซต์ เพราะในขณะนั้น บางเว็บไซต์มีคนเข้าชมมาก และมีข่าวว่ามีคนต้องการซื้อในราคาแพง
ดังนั้น จึงได้มาลองคิดดูว่า เว็บไซต์จะทำอะไรได้บ้าง เช่น หารายได้ทางโฆษณา และบางทีอาจจะขายของ
ทางเว็บไซต์ ทำนองอีคอมเมิร์ซ หรือแม้แต่รับจ้างทำเว็บไซต์ด้วย ต่อมาจึงได้ศึกษาเรื่องการจัดตั้งบริษัท
ขึ้นมา และได้ขอจดทะเบียนตั้งบริษัท ชื่อ อินโฟซิสเทค จำกัด (Info Systech Co.,Ltd.) ขึ้น

การจัดตั้งบริษัท ไม่ได้ยุ่งยากนัก เพราะใช้บริการ คือจ้างเขาดำเนินการให้ ยอมเสียเงินค่าจ้าง ก็ทำได้อย่าง
รวดเร็ว เมื่อมีผู้ก่อตั้งบริษัทแล้ว ก็ต้องมีทุนจดทะเบียน มีผู้ถือหุ้น และมีสำนักงาน รวมทั้งเรื่องการจด VAT
ด้วย และที่ขาดไม่ได้ก็คือการจ้างผู้ทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชี ทุกอย่างทำได้หมด และเริ่มมีค่าใช้จ่าย
เกิดขึ้น แต่สิ่งที่มือใหม่อย่างผม ยังไม่ได้คำนึงถึงมากนักก็คือ การหารายได้มาเข้าบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้ามัวแต่คิดมากในตอนแรก ก็ไม่มีวันจะมีบริษัทกับเขาได้

ในระยะแรกๆ ได้มีผู้ร่วมงาน 2-3 คน แบ่งหน้าที่กัน เช่นด้านการตลาด ด้านพัฒนา และพอมีรายได้เข้ามา
บ้างเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะยังมีงานหลักทำอยู่ เรื่องงานบริษัทส่วนตัวเป็นเพียงแค่งานอดิเรก หรืองาน
Part Time เท่านั้น

ต่อมาเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำการพัฒนาและจัดทำเว็บไซต์ไทยตำบลดอทคอม จึงได้เสนอขอใช้บริษัท
อินโฟซิสเทค จำกัด เป็นผู้รับงาน ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้เป็นประจำเข้ามา แต่ก็ไม่ได้มุ่งทำกำไรอะไร
เพราะเป็นงานที่ต้องทำให้มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด

เว็บไซต์ Bangkoksite.com นั้นจัดทำเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้นมา และเป็นที่รู้จักและแพร่หลายพอควร
ต่อมา ได้มีบริษัทต่างประเทศที่ทำการรับจองโรงแรมมาชวนให้เป็น Affiliate Member ของเขา คือถ้า
มีคนเข้ามาดูที่ Bangkoksite.com แล้วจองโรงแรม เราก็จะได้ส่วนแบ่งหรือ Commission ด้วย
ซึ่งก็ทำให้ บริษัทอินโฟซิสเทค มีรายได้เข้ามาอีกทางหนึ่ง (แต่ไม่มากนัก)

ในปี 2545 ได้มีญี่ปุ่นรายหนึ่งติดต่อมาทางอีเมล์ ประสงค์จะซื้อสินค้า 2-3 รายการ และได้ส่งรูปสินค้ามา
ให้ดูด้วย ผมจึงได้พยายามหาสินค้า และเมื่อเขามากรุงเทพฯ ก็ได้พบกันและนำสินค้าไปแสดงให้ดูโดยเปิด
ห้อง Business Center ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เขาซื้อยากมาก ในที่สุด ก็สั่งสินค้ามีมูลค่าประมาณ
80,000 บาท (ซึ่งรวมค่าขนส่ง และอื่นๆทุกอย่างแล้ว) โดยให้ส่งไปที่ โอกินาวา ในตอนนั้น เรื่องการ
ส่งออก ผมไม่เคยทำมาก่อน ไม่รู้เรื่องเลย จึงได้ปรึกษาผู้ที่ทำการส่งออก และบริษัทที่ทำ Freight
Forwarder ซึ่งได้ไปทำการจดทะเบียน และทำบัตรประจำตัวผู้ส่งออก พอทำเสร็จ เย็นวันนั้น ของก็ส่ง
ขึ้นเครื่องบินไปโอกินาวาทันที โดยไม่ได้มีการวางมัดจำไว้ก่อน ลองเสี่ยงดู แต่เขาก็ซื่อตรง โอนเงินให้
โดบระบบ Telex Transfer ทันทีเมื่อได้รับของแล้ว งานแรกนี้สนุกมากได้กำไรมานิดหน่อย

การใช้จ่ายเงินเมื่อทำธุรกิจ
ธุรกิจที่ทำนั้นมีขนาดเล็กๆ เพราะพวกเราที่รวมกันก่อตั้งบริษัท และผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำธุรกิจเอง
เป็นแค่ลูกจ้างบริษัทอื่นๆเท่านั้น ดังนั้น งานที่ทำจึงเป็นเพียงแค่งานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต จึงมีคนบางคน
กล่าวว่า เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจ (We are not in business) ที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม ที่ทำมาถือว่า
เป็นจุดเริ่มต้น (คงจะไม่สายเกินไป) ทำให้ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น

ในสมัยที่ทำงาน กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นของรัฐบาล ทำงานตามหน้าที่ที่กำหนด ใช้เงินตามงบ
ประมาณ ใครเป็นเจ้าของเงิน เราไม่เคยเห็นหน้า เพราะเป็นของรัฐ และเงินส่วนหนึ่งก็มาจากภาษีของ
ประชาชน ต่อมาเมื่อทำงานบริษัทเอกชน เรารู้ว่าใครเป็นเจ้าของเงิน คือเจ้าของบริษัท และผู้ถือหุ้น ที่
มีรายใหญ่ๆให้เห็นอย่างชัดเจน   และต่อมา เมื่อมาตั้งบริษัทเล็กๆเอง หุ้นใหญ่ที่สุดก็คือผมเอง (แต่เงิน
นิดเดียว) การใช้จ่ายเงินของบริษัท ก็คือใช้เงินของผม (It's my money) เป็นส่วนใหญ่ อันนี้เห็นได้
อย่างชัดเจน ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายมาก

Hit Counter
วันที่ 1 มี.ค.2548