Digital Photography   Audio & Video   Computer Accessories   Software Applications | Miscellaneous | Home
....

วิธีประหยัดการใช้ไฟฟ้าในบ้าน/อาคาร
(Energy Saving - Home/Office)
 

 

1. Introduction

ในบ้านสมัยใหม่ เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากมายเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย เช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ พัดลม เตาไมโครเวฟ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กาต้มน้ำร้อน เครื่องซักผ้า เตารีด เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างแบบต่างๆเพื่อความสะดวกในการใช้งานและความสวยงาม ซึ่งรวมแล้วเราต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน ดังจะเห็นได้จากบิลค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงควรหาทางประหยัดการใช้ไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ซึ่งได้พยายามปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเรื่อยมาเพื่อการประหยัดพลังงาน

2. การใช้ไฟฟ้าให้ประหยัดพลังงาน

2.1 ครื่องปรับอากาศ (Air Conditioner)

เครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้าน โดยเฉพาะสำหรับห้องนอน เครื่อง
ปรับอากาศอาจจะมีอายุการใช้งานนานถึง 20 ปี ถ้ามีการดูแลและเปลี่ยนชิ้นส่วน อุปกรณ์ มีการบำรุงรักษา คือการทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศบ่อยๆ ในส่วนที่ทำเองได้ เช่นถอดออกมาดูดฝุ่น และล้าง

การล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศทั้งหมด จำเป็นจะต้องให้ร้านแอร์ที่มีช่างชำนาญการมาทำให้ ซึ่งเขาจะถอดชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาด ล้าง ทั้งส่วน Blower และ Compressor รวมทั้งการตรวจเช็คน้ำยาแอร์ด้วย การทำความสะอาดใหญ่ จะช่วยให้มีการระบายความร้อนได้ดี และประหยัดการใช้ไฟฟ้าขึ้น แต่ปัญหาก็คือ ในปัจจุบันร้านแอร์คิดค่าบริการดังกล่าวครั้งละ 600 - 800 บาทต่อเครื่อง ดังนั้น คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยล้างแอร์ตามกำหนด แต่จะใช้ไปเรื่อยๆจนกว่าแอร์จะไม่ค่อยเย็น จึงจะตามช่างมา

การใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดไฟฟ้า ควรทำดังนี้
1)  ตรวจเช็ค ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเองบ่อยๆและให้ช่างมาล้างแอร์ทุกๆ 6 เดือน

2)  เปิดเครื่องปรับอากาศเมื่อจำเป็น ถ้าอากาศไม่ร้อนมากควรใช้พัดลม หรือใช้ร่วมกัน เช่น ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ 25 - 27 องศา C และใช้พัดลมช่วยกระจายความเย็น

3)  ปิดประตู หน้าต่างห้องให้มิดชิด เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำความเย็นในขอบเขตที่จำกัด (Cooling Volume) เมื่อออกจากห้อง อย่าเปิดประตูอ้าไว้ หรือถ้ามีคนทำอย่างนั้นบ่อยๆ ก็ควรติดตั้ง Door Closer และถ้าไม่มีคนอยู่ในห้อง หรือออกไปนานๆ เช่น 30 นาที ควรปิดเครื่องปรับอากาศ

4)  การใช้ไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ มีทั้งส่วนคอมเพรสเซอร์ และส่วนพัดลม ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรเร่งพัดลมแรงสุด ควรใช้ความเร็วลมปานกลาง หรือต่ำ ได้ก็จะยิ่งประหยัด

5)  ห้องที่มีหน้าต่างกระจกมาก หรือรับแสงแดดตอนบ่าย ควรติดตั้งม่าน 2 ชั้น หรือติดฟิลม์กันความร้อน(ซึ่งแพง) และอาจต้องปิดม่านบางส่วน เพื่อลดรังสีความร้อนที่แผ่เข้ามาในห้อง ทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนัก และใช้ไฟฟ้ามาก

6)  ตั้งรีโมทคอนโทรลสำหรับเครื่องปรับอากาศห้องนอน ให้ปิดเครื่องก่อนตื่นนอนสักระยะหนึ่ง เช่น ถ้าตื่นนอน 6 โมงเช้า ให้ปิดแอร์เวลา 5.30 . ก็จะประหยัดไฟฟ้าได้ส่วนหนึ่ง อ่านรายละเอียด คลิก

7)  เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ เป็นรุ่นที่ประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือใช้แบบ Inverter แต่ต้องลงทุนสูง


8)  ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดไฟสำหรับเครื่องปรับอากาศ รุ่นเก่า เช่น ใช้ Airconmiser


รูปที่ 1  เครื่องปรับอากาศติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน

2.2 ไฟแสงสว่าง.หลอดไฟฟ้า.(Light Bulb)

ในปัจจุบันหลอดไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานมากที่สุด คือหลอดประเภท LED (Light Emitting Diode)ซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่หลอดไฟอื่นๆ ดังนั้น เราควรประหยัดพลังงานในการใช้ไฟแสงสว่าง ดังนี้

1)  พยายามเลิกใช้หลอดไฟใส้ แบบ Tungsten Filament เช่น ขนาด 25, 40, 60, 100 วัตต์ โดยเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ขนาด 3,4, 5,6,7 และ 9 วัตต์ แทน  ซึ่งจะประหยัดไฟได้มาก และใช้งานได้นานกว่ามาก

2) 
สำหรับหลอดไฟประหยัดพลังงาน แบบหลอดตะเกียบและหลอดฟลูออเรสเซนต์ นั้น ก็ยังกินไฟมากกว่าหลอด LED ประมาณ 2 เท่า ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาใช้หลอด LED แทน


รูปที่ 2  หลอดไฟ LED ขนาด 4 และ 6 วัตต์

3)  ควรเลิกใช้หลอด Downlight ทั้งแบบ 12 และ 220 โวลท์ ที่เป็นแบบ Halogen กินไฟ 50 วัตต์ โดยเปลี่ยนมาใช้หลอด Downlight LED ขนาดเพียง 3 - 4 วัตต์ ก็ให้ความสว่างเท่าๆกัน มีทั้ง 12 และ 220 โวลท์ขาย มีทั้งสีขาว (White) และสีออกเหลืองๆ (Warm) ใช้แทนหลอดเดิมได้ทันที

4)  สามารถเปลี่ยนไฟเพดาน ฟลูออเรสเซนต์กลม ขนาด 32 วัตต์ ซึ่งใช้บัลลาสต์แบบแกนเหล็ก หรือแบบ Electronic Ballast รวมแล้วกินไฟประมาณ 40 วัตต์ มาใช้ไฟแบบ LED Circular ขนาด 18 - 20 วัตต์ได้ทำให้ประหยัดไฟไปได้ดวงละ 40 -20 = 20 วัตต์ หรือประหยัดถึง 50%



รูปที่ 3  หลอดไฟ LED Circular ขนาด 20 วัตต์

5)  ใช้ หลอด LED Filament  แบบที่หรี่ไฟได้ ขนาด 6 วัตต์ สำหรับไฟ Chandelier แทนการใช้หลอด Tungsten Candle หลอดละ 40 วัตต์ ช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 87%


รูปที่ 4  หลอดไฟ LED Filament Candle สำหรับไฟ Chandelier

6)  ใช้ Motion Sensor Switch ตรวจจับความเคลื่อนไหว เพื่อเปิด ปิด ไฟฟ้า เช่น ใช้ตามทางเดิน บันได ห้องน้ำ บริเวณ Pantry เป็นการประหยัดการใช้ไฟฟ้า อ่านรายละเอียด คลิก

7)  ไฟฟ้าที่ต้องเปิดไว้ทั้งคืน เช่นไฟหน้าบ้าน ไฟโรงรถ ไฟข้างบ้าน ควรใช้หลอดไฟแบบ LED ที่มีวัตต์ต่ำ และบางดวงอาจหาแบบที่ใช้กับเครื่องหรี่ไฟได้ด้วย เพื่อไม่ให้แสงสว่างจ้าเกินไป การหรี่ไฟลง ก็จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานได้อีกส่วนหนึ่ง
 

เปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าของหลอดไฟแบบต่างๆ

LED

 

Fluorescent

 

Incandescent

3 Watt = 7 Watt = 35 Watt
5 Watt = 11 Watt = 50 Watt
7 Watt = 15 Watt = 70 watt
9 Watt = 19 Watt = 90 Watt
12 Watt = 25 Watt = 120 Watt
15 Watt = 31 Watt = 150 Watt
18 Watt = 36 Watt = 180 Watt

 

  2.3 เตารีด (Iron / Steam Iron)

เตารีดเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น และกินไฟมาก ดังนั้นการใช้ให้ประหยัดพลังงาน เริ่มด้วยการเลือกใช้เตารีดซึ่งมี แบบธรรมดา แบบที่มีไอน้ำ
(Steam Iron) และบางแบบก็มีระบบตัดไฟเองเมื่อไม่ได้ใช้สักระยะหนึ่ง เช่น 8 นาที เตารีดแบบที่ใช้ไอน้ำ จะช่วยให้รีดผ้าได้เร็วขึ้น และประหยัดการใช้ไฟฟ้า อ่านรายละเอียด คลิก


รูปที่
5 
ตารีดแบบไอน้ำ

วิธีรีดผ้าให้ประหยัดไฟฟ้า

1.  ทำให้เสื้อผ้ายับน้อยที่สุด ในการซักและตากผ้า สลัดผ้าให้คลายตัวและดึงผ้าทุกชิ้นให้ตึงแล้วจึงตากและเมื่อผ้าแห้ง ก็พับเก็บให้ยับน้อยที่สุด การที่ผ้ายับมากๆ เวลารีดก็จะต้องใช้น้ำพรมหรือพ่นไอน้ำมากทำให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานเพิ่มขึ้น

2.  ก่อนรีดผ้าทุกครั้ง ให้แยกผ้าออกตามชนิดผ้าและตามความหนา ความบาง เพื่อสะดวกในการเลือกว่าจะรีดผ้าใดก่อน หลัง และสามารถตั้งควบคุมอุณหภูมิที่เตารีดได้

3.  วบรวมผ้าที่จะรีดแต่ละครั้งให้มากพอ แล้วจึงทำการรีด ไม่ควรรีดผ้าครั้งละตัวสองตัว เพราะการเสียบปลั๊กแต่ละครั้งจะสิ้นเปลืองไฟฟ้าในช่วงอุ่นเตารีดให้ร้อนจนได้อุณหภูมิที่ต้องการ

4.  ารพรมน้ำมากเกินไปจะทำให้เสียหลังงานในการรีดผ้าให้แห้ง ดังนั้น เตารีดไอน้ำ ที่สามารถพ่นไอน้ำออกมายังผ้า จึงช่วยให้รีดผ้าได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงาน

5.  อดปลั๊กก่อนรีดผ้าเสร็จประมาณ 2-3 าที แล้วใช้ความร้อนที่เหลืออยู่ในเตารีด รีดผ้าชนิดที่ไม่ต้องการความร้อนมาก เช่น ผ้าเช็ดหน้า

2.4 กาต้มน้ำไฟฟ้า (Electric Kettle)

กาต้มน้ำไฟฟ้ามีให้เลือกใช้หลายขนาด เช่นขนาดเล็ก
500 cc. ขนาดปานกลาง 1,000 cc. กาต้มน้ำที่มีขีดแสดงปริมาณน้ำ ช่วยให้เราใส่น้ำเข้าไปได้พอเหมาะกับความต้องการ สำหรับการชงกาแฟ 2 - 3 ถ้วย ใช้น้ำประมาณ 500 cc ก็พอแล้ว

การใช้กาต้มน้ำให้ประหยัดพลังงาน จึงขึ้นอยู่กับการใช้ปริมาณน้ำที่จะต้มให้พอเหมาะกับความต้องการในแต่ละครั้ง อย่าต้มน้ำมากเกินไปแล้วก็ไม่ได้ใช้ส่วนที่เหลือ ปล่อยให้เย็นลงไป และอย่าเอาน้ำที่เย็นในตู้เย็นไปใส่กาต้มน้ำแล้วต้ม เพราะจะใช้เวลาและพลังงานมากขึ้น
    จากการทดลอง ถ้าใช้น้ำเย็นจากตู้เย็นใส่ลงไปในกาต้มน้ำ ปริมาณ 500 ซีซี แล้วต้มจนเดือด จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 24%

กาต้มน้ำนั้น เมื่อน้ำเดือดแล้ว สวิตช์จะตัดไฟโดยอัตโนมัติ จะไม่มีไฟเข้าไปในกาอีก แต่ถ้าเครื่องเก่าๆ สวิตช์อาจไม่ทำงาน และต้มน้ำต่อไปเรื่อยๆจนน้ำแห้งและอาจเกิดไฟใหม้ขึ้นได้ ดังนั้น เมื่อต้มน้ำแล้วควรถอดปลั๊กออกทุกครั้ง จะปลอดภัย และอย่าต้มน้ำโดยทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูแล

อ่านรายละเอียด คลิก


รูปที่ 6  กาต้มน้ำขนาด 1,000 cc.

2.5 เครื่องรับโทรทัศน์ (TV)

ในอดีตเราใช้โทรทัศน์จอแก้ว แบบที่ใช้หลอด
Cathode Ray และกินไฟมาก ต่อมาได้มีโทรทัศน์แบบจอแบน LCD ที่ใช้ไฟฟ้าน้อยลง และในปัจจุบัน ก็มีโทรทัศน์แบบ LED ที่ใช้ไฟฟ้าน้อยลงไปอีก
ตัวอย่าง โทรทัศน์
LED ขนาด 55 นิ้ว เมื่อใช้รีโมท ปิดเครื่ง ก็จะยังกินไฟ 17 วัตต์ และเมื่อเปิดดูรายการ จะกินไฟตั้งแต่ประมาณ 90 ถึง 125 วัตต์ ขึ้นอยู่กับความสว่างของภาพ ดังนั้นการประหยัดไฟฟ้าในการใช้เตรื่องรับโทรทัศน์ อาจสรุปได้ดังนี้

1.  ควรเลิกใช้โทรทัศน์แบบจอแก้ว หรือจอตู้ และเปลี่ยนมาใช้โทรทัศน์จอแบน แบบ LED แทน

2.  ปิดโทรทัศน์และ Set Top Box (ถ้ามี) เมื่อไม่มีคนดูโดยใช้รีโมทปิดเครื่องก่อน แล้วปิดสวิตช์ที่รางปลั๊กไฟ (ซื้อมาเพิ่ม) เพื่อตัดไฟฟ้าไม่ให้เข้าเครื่อง ซึ่งจะทำได้ง่าย รวดเร็วและปลอดภัยกว่าการดึงปลั๊กไฟออก ซึ่งมีโอกาศที่จะดึงพลาด สายหลุด หรือเกิดไฟช็อตได้ และบางครั้ง ปลั๊กไฟอยู่ในระดับต่ำ หรืออยู่หลังตู้ ทำให้ดึงไม่สะดวก


รูปที่ 7  รางปลั๊กไฟ แบบที่มีสวิตช์ของแต่ละปลั๊ก จะแยกใช้งานสะดวก

3. ไม่ควรปรับภาพจอโทรทัศน์ให้สว่างเกินไป เพราะจะทำให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

4.  โทรทัศน์ที่ต่อเข้ากับชุดโฮมเธียร์เตอร์นั้น จะมีการใช้ไฟสำหรับชุดโฮมเธียรต์เตอร์มาก ดังนั้น ถ้าดูรายการธรรมดาทั่วๆไป ควรเปิดเพียงโทรทัศน์ ไม่ต้องเปิดระบบขยายเสียง

5.  เลือกใช้โทรทัศน์ให้มีขนาดพอเหมาะกับห้องและระยะห่างในการดู การใช้โทรทัศน์ใหญ่มาก ก็จะยิ่งกินไฟมาก

ตัวอย่างการใช้ไฟฟ้าของโทรทัศน์
ขนาด
32 นิ้ว LCD ขณะเปิด 90 วัตต์ ขณะปิดโดยรีโมท 12 วัตต์ (13.3%)
ขนาด
40 นิ้ว LED ขณะเปิด  96 วัตต์ ขณะปิดโดยรีโมท 13 วัตต์ (13.5%)
ขนาด
55 นิ้ว LED ขณะเปิด 125 วัตต์ ขณะปิดโดยรีโมท 17 วัตต์ (13.6%)

2.6 เครื่องซักผ้า (Washing Machine)

การซักผ้าด้วยเครื่อง ควรใส่ผ้าให้มากพอตามกำลังของเครื่อง เพื่อจะได้ไม่ต้องทำการซักบ่อยๆ บางบ้านใช้เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่สำหรับการซักผ้าจำนวนมาก และมีเครื่องขนาดเล็กสำหรับการซักผ้าจำนวนน้อยชิ้น แต่ใช้ซักบ่อยๆ


2.7 ตู้เย็น (Refrigerator)

ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งจะมีการเสียบปลั๊กไฟไว้ตลอดเวลา ข้อแนะนำในการประหยัดพลังงาน คือ

1)  เลือกขนาดตู้เย็นให้พอเหมาะกับขนาดครอบครัวและการใช้งาน

2)  ปิดตู้เย็นให้สนิท อย่าเปิดตู้เย็นบ่อยจนเกินไป หรือเปิดประตูอ้าไว้

3)  อย่าใส่ของในตู้เย็นมากเกินไป อย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น

4)  ตั้งสวิตช์ควบคุมอุณหภูมิของตู้เย็นให้เหมาะสม

5)  หมั่นทำความสะอาดด้านหลังตู้เย็น เพื่อให้มีการระบายความร้อนได้ดี

2.8 คอมพิวเตอร์ (Computer)

คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ หรือ
PC ใช้ไฟฟ้ามากพอควร ควรประหยัดการใช้พลังงาน โดย

1)  อย่าเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้เมื่อไม่ใช้งาน อย่างน้อยก็ควรปิดสวิตช์จอภาพ จะประหยัดไฟฟ้าไปได้ประมาณ 25%

2)  ใช้โปรแกรมเพื่อดับจอภาพ เมื่อไม่มีการใช้งานระยะหนึ่ง และตั้งให้ตัว PC Sleep พื่อลดการใช้ไฟฟ้าลง อ่านรายละเอียด คลิก  เช่น ตั้งจอภาพให้ดับในเวลา 3 นาที และตั้ง PC Sleep ในเวลา 30 นาที  ในขณะที่ PC Sleep จะกินไฟเพียง 2 วัตต์ เท่านั้น

3)  ปิดสวิตช์อุปกรณ์ต่อพ่วงถ้ายังไม่ต้องการใช้งาน เช่น เครื่องพิมพ์ (Printer) และ External Hard Disk (ถ้ามี)

หมายเหตุ :
จากการทดลอง จอภาพ PC แบบจอกว้างขนาด 21 นิ้ว กินไฟประมาณ 21 - 22 วัตต์ และเครื่อง PC แบบ Desk Top กินไฟประมาณ 65 - 80 วัตต์ ดังนั้นในการเปิดใช้งานจะกินไฟประมาณ 80 - 100 วัตต์


สรุป :

1. 
มีวิธีที่จะประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มาก ในระยะแรกอาจจะต้องลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆที่กินไฟมาก สิ่งที่ทำได้ง่ายคือการเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าเดิม มาใช้หลอดหรือดวงโคมแบบ LED ซึ่งความจริงราคาหลอดไฟ LED ควรจะถูกมากกว่านี้ เพราะเป็นการส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อน

2. 
การประหยัดไฟฟ้าในบ้าน หรือสำนักงาน ขึ้นอยู่กับความร่วมมือและวินัยของคนที่จะต้องช่วยกันประหยัด  เช่น ไม่เปิดแอร์หรือทีวีทิ้งไว้โดยไม่มีคนอยู่ หรือช่วงพักเที่ยงในสำนักงาน ก็ควรปิดแอร์ ปิดไฟฟ้า ไม่เปิดไฟ ไม่เปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น ฯลฯ
 

หมายเหตุ
สำหรับอาคารและสถานที่ทำงาน บริษัทหลายแห่ง ออกกฎเรื่องการประหยัดพลังงาน เช่น จะเปิดแอร์ส่วนกลาง
(Central Air) เวลา 8.00 . และปิดเวลา 16.00 หรือ 17.00 . แล้วแต่ว่ามีการทำงานช่วงเย็นหรือไม่ และช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน ก็ให้ปิดแอร์ ปิดไฟฟ้า สำหรับคอมพิวเตอร์ ก็ให้ปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้ และมีการตั้งปิดจอและ PC Sleep ทุกเครื่อง ซึ่งต้องมีการตรวจเช็คกัน ว่ามีการปฏิบัติตามหรือไม่

....................................................................
 


จากวันที่ 13 ธ.. 2558
ปรับปรุงล่าสุด : 16 .. 2558